การ วางแผน ธุรกิจ

Blogs

BLOGs
link backlink
วิธี ลด Bounce rate ทำอย่างไรดี?

หัวข้อที่คุณอาจสนใจ

Bounce Rate
เเชร์ :

วิธี ลด Bounce rate ทำอย่างไรดี? Bounce rate คือ อะไร

การทำธุรกิจออนไลน์ด้วยการโปรโมทแบรนด์สินค้าหรือบริการผ่านทางเว็บไซต์ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย

แต่ทั้งนี้ก็ต้องทำการปรับแต่งหน้าเว็บให้เป็นที่น่าสนใจ รวมไปถึงทำคอนเทนต์ออกมาให้ตอบโจทย์ เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์ให้ได้มากที่สุด

ซึ่งถ้าหากเนื้อหาภายในเว็บไม่เป็นที่น่าสนใจก็จะทำให้ผลการประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์มี Bounce Rate ที่สูงมากๆ แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจสินค้า หรือบริการอย่างแน่นอน

ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ วิธีลด Bounce Rate เพื่อทำให้เว็บของคุณมีผู้ที่เข้ามารับชมเพิ่มมากขึ้นกันค่ะ ตามมาดูเลยว่ามีวิธีการทำรูปแบบไหนบ้าง

Bounce Rate คือ อะไร 

Bounce Rate คือ อะไร 

Bounce Rate คือ อัตราส่วนของผู้เยี่ยมชมที่เข้ามายังเว็บไซต์หรือเข้ามาที่หน้าเว็บเพียงหน้าเดียวแล้วออกไปโดยที่ยังไม่ทันได้ทำกิจกรรมใดๆ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือชี้วัดความน่าสนใจและเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ที่เข้ามารับชมสินค้าหรือบริการ

ถ้าหาก Bounce Rate สูงมาก ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้เยี่ยมชมไม่พึงประสงค์หรือไม่พอใจกับเนื้อหาที่เห็นในหน้าเว็บนั้น หรือเว็บไซต์ไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน

ดังนั้น ถ้าหากอยากให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพสามารถตอบโจทย์ได้ตรงกับความต้องการของผู้ที่เข้ามารับชมสินค้าหรือบริการก็ต้องทำการปรับแต่งคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพ

ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์จะช่วย ทำให้ Bounce Rate ลดลง ได้ และผลลัพธ์ที่ธุรกิจสินค้าหรือบริการจะได้รับก็คือ เว็บไซต์ ของคุณจะเป็นที่รู้จักในวงกว้างได้ดีมากขึ้น

ลด Bounce Rate

เทคนิคการลด Bounce Rate มีอะไรบ้าง

การลด Bounce Rate สามารถทำได้โดยการปรับปรุงเนื้อหา หรือปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อให้มีความเหมาะสมมากขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้งาน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บ โดยคุณสามารถนำเทคนิคการลด Bounce rate ดังต่อไปนี้ ไปปรับใช้กันได้เลย 

  • ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา 

ทำเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพ โดยเน้นไปที่ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก เนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจจะทำให้ผู้เยี่ยมชมต้องการดูข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม รวมไปถึงยังลดโอกาสที่พวกเขาจะออกไปโดยไม่เรียกดูหน้าอื่นได้อีกด้วย 

ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา 

การ ปรับปรุงคุณภาพเนื้อหา เพื่อ ลด Bounce Rate สามารถทำได้ ดังนี้

    • วิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย 

เพื่อให้ทราบถึงความต้องการ, ความสนใจ, และปัญหาที่พวกเขากำลังพบเจอ

    • เขียนเนื้อหาที่น่าสนใจ 

และมีคุณค่าต่อผู้อ่าน เลือกใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย

    • ทำหัวข้อให้น่าสนใจ 

จะช่วยทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าการไปยังหน้านี้ คือการค้นพบข้อมูลที่สำคัญ

    • ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ 

ซึ่งควรทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง 

    • ใช้รูปภาพและสื่อมัลติมีเดีย 

เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ โดยการนำรูปภาพมาใช้ ควรเลือกรูปที่มีความชัดเจนและเหมาะสมกับเนื้อหา

    • ทำให้ข้อความมีโครงสร้างที่ชัดเจน 

เช่น การใช้หัวข้อย่อย, รายการ, และย่อหน้า ทำให้ข้อมูลต่างๆ สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย

    • สร้างการเชื่อมโยงภายใน 

ด้วยการใส่ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นการเรียกดูหน้าอื่น ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมได้ค้นพบเนื้อหาที่สนใจได้เพิ่มเติม

    • เปรียบเทียบข้อมูลและจัดทำสรุป 

เพื่อทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย

    • จัดเตรียมทางเลือกหรือคำแนะนำเพิ่มเติม 

เช่น ลิงค์ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง, ฟอร์มสมัครสมาชิก, หรือช่องทางการติดต่อ เป็นต้น

    • สร้างช่องทางสื่อสารเพื่อรับความคิดเห็น 

หรือให้ทางเลือกกับผู้ใช้ได้แสดงความคิดเห็นได้ง่าย

การปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้รับประสบการณ์ที่ดีและไม่ต้องออกไปจากเว็บไซต์ของคุณโดยไม่จำเป็น

  • เพิ่มการนำทาง 

ทำระบบนำทางของเว็บไซต์ของคุณให้เป็นมิตรและง่ายต่อการใช้งาน ผู้เยี่ยมชมที่ไม่สามารถหาข้อมูล หรือค้นหาสิ่งที่ต้องการในเว็บไซต์ อาจทำให้พวกเขาออกไปก่อนที่จะเรียกดูหน้าอื่นเพิ่มเติม ทั้งนี้วิธีการปรับแต่งระบบนำทางบนเว็บไซต์ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

    • สร้างเมนูนำทางที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย 

รวมไปถึงจัดหมวดหมู่ และลำดับเมนูให้เป็นระเบียบ 

    • สร้างลิงค์ภายในที่เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นในเว็บไซต์ 

อย่าลืมใส่ลิงค์ที่เกี่ยวข้องในเนื้อหาลงไปด้วย

    • ใส่ปุ่ม Call-to-Action (CTA) 

ให้ชัดเจนและเปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมทำกิจกรรมต่างๆ ได้ เช่น “อ่านต่อ”, “สมัครสมาชิก”, “ซื้อสินค้า” และอื่น ๆ

    • ทำหน้าหลักให้มีเนื้อหาที่น่าสนใจ 

และมีข้อมูลสำคัญ ที่ลิงค์ไปยังส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์จากหน้าหลักได้สะดวก

    • ใส่ Breadcrumbs 

เพื่อแสดงตำแหน่งปัจจุบันของผู้เยี่ยมชมในเว็บไซต์ ช่วยให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน และทำให้เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี 

    • ปรับปรุงระบบค้นหาเว็บไซต์ 

เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น  

    • เพิ่มปุ่ม 

หรือลิงค์ที่ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมกลับไปที่ด้านบนของหน้าเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก

    • แสดงตัวอย่างเนื้อหา 

หรือลิงค์ที่เป็นประโยชน์ที่อยู่ในหน้านั้น ช่วยทำให้ผู้เยี่ยมชมรู้ว่ายังมีข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    • ทำให้การนำทางบนอุปกรณ์มือถือ 

สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ด้วยการใช้เมนูที่เหมาะสมและปรับแต่งหน้าแสดงผลเนื้อหาให้สอดคล้องกัน 

การเพิ่มการนำทางบนเว็บไซต์จะช่วยทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายและไม่รู้สึกสับสน 

ซึ่งถ้าหากสามารถนำทางได้อย่างเป็นระบบและมีข้อมูลที่ชัดเจน ก็จะส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้เข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น ที่สำคัญเลยก็คือ สามารถลด Bounce Rate ไปได้มากอีกด้วย

  • ลดเวลาโหลดหน้า 

การทำหน้าเว็บไซต์ให้สามารถโหลดได้อย่างรวดเร็ว มีผลดีอย่างมากในการลด Bounce rate เพราะผู้เยี่ยมชมมักจะออกจากเว็บไซต์ในทันที ถ้าหากหน้าเว็บโหลดได้ช้า ซึ่งในเรื่องนี้สามารถทำการปรับแต่งได้ดังนี้

    • ปรับปรุงขนาดไฟล์รูปภาพ 

ด้วยการลดขนาดไฟล์ หรือเลือกฟอร์แมตรูปภาพที่เหมาะสม แต่คุณภาพดี ก่อนที่จะถูกส่งไปยังผู้เยี่ยมชม 

    • ใช้ Content Delivery Network (CDN) 

เพื่อทำให้ไฟล์สื่อและข้อมูลต่างๆ ถูกโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับผู้เยี่ยมชมได้อย่างสะดวก 

    • ปรับปรุงการโหลดภายหลัง (Deferred Loading) 

ด้วยการใช้การโหลดแบบ Deferred สำหรับสคริปต์ที่ไม่จำเป็นในขณะที่หน้าเว็บกำลังโหลด

    • ปรับปรุงการโหลดสคริปต์แบบ Non-blocking 

เพื่อไม่ทำให้ผู้เยี่ยมชมต้องรอนานในขณะที่หน้าเว็บโหลดข้อมูลต่างๆ  

    • ปรับปรุงการโหลดให้มีความเหมาะสมกับอุปกรณ์มือถือ 

ซึ่งอาจต้องเลือกใช้ภาพที่เหมาะสมกับหน้าจอขนาดเล็ก เพื่อให้สามารถดูได้อย่างสะดวกมากขึ้น 

    • วิเคราะห์การโหลดด้วย Google PageSpeed Insights 

หรือ Lighthouse เพื่อรับข้อแนะนำที่สามารถปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพได้

การลดเวลาโหลดหน้าเว็บไม่เพียงแต่ช่วยลด Bounce Rate เท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ผู้เยี่ยมชมมีประสบการณ์ที่ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในเว็บไซต์ได้นานขึ้น

ให้ข้อมูลติดต่อเพิ่มเติม 

  • ให้ข้อมูลติดต่อเพิ่มเติม 

ใส่ลิงค์ หรือข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน เพราะถ้าหากเกิดกรณีที่ผู้เยี่ยมชมต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะสามารถเข้าถึงเนื้อหาในส่วนต่างๆ ได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นความสนใจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับวิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ด้วยการให้ข้อมูลติดต่อเพิ่มเติมนั้น ทำได้ดังนี้

    • แสดงข้อมูลติดต่อให้ชัดเจน 

เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถติดต่อคุณได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการใส่เบอร์โทรศัพท์, อีเมล, หรือแบบฟอร์มติดต่อ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย 

    • จัดทำหน้าเว็บไซต์ 

โดยให้มีเมนู “เกี่ยวกับเรา” ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท, ประวัติ, และวัตถุประสงค์ รวมไปถึงเนื้อหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับทีมงานและความเชี่ยวชาญ

    • ใส่ข้อมูลที่เพิ่มมูลค่าและน่าสนใจ 

เช่น บทความ, บทวิจารณ์, หรือคำแนะนำ ด้วยการสร้างลิงค์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมชม

    • ใส่ฟอร์มติดต่อ

ที่ช่วยทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถกรอกข้อมูลและส่งต่อไปยังคุณได้อย่างสะดวก ซึ่งอาจจะมีบริการตอบคำถามทางออนไลน์ หรือแชทสดเพื่อช่วยเสริมช่องทางในการติดต่อ

    • ใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย 

ลดการใช้ภาษาทางวิชาการ หรือข้อกำหนดที่ซับซ้อน การใช้ข้อมูลด้วยภาษาที่ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าใจได้จะช่วยทำให้ผู้เยี่ยมชมใช้เวลาอยู่ในเว็บได้นานขึ้น 

    • สร้างหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ) 

และคำตอบที่คนส่วนใหญ่มักจะถาม จะช่วยทำให้ลดความสงสัยและสร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี

    • ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในหน้า “ข่าวสาร” หรือ “บทความ” 

ที่ประกอบไปด้วยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการ หรือสาขาธุรกิจที่คุณเกี่ยวข้อง

การให้ข้อมูลติดต่อเพิ่มเติมที่น่าสนใจ จะช่วยทำให้ผู้เยี่ยมชมพบข้อมูลที่ต้องการและอยู่ในเว็บไซต์ของคุณได้นานขึ้น และยังช่วยทำให้ลด Bounce Rate ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

  • ใช้ Call-to-Action (CTA) 

การใช้ CTA เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมชม ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกลิงค์, กรอกแบบฟอร์ม, หรือการทำรายการอื่น ๆ เทคนิคนี้จะช่วยลด Bounce Rate ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับวิธีการใช้ CTA นั้นคุณสามารถทำตามเทคนิคต่างๆ เหล่านี้ได้เลย 

    • ทำให้ CTA ตัวนั้นๆ เกิดประสิทธิภาพ

และมีความชัดเจน ซึ่งอาจใช้ข้อความที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ เช่น “สมัครสมาชิกตอนนี้”, “ดาวน์โหลดฟรี”, “ลองสินค้าฟรี”, หรือ “อ่านเพิ่มเติม” เป็นต้น

    • สร้าง CTA ที่น่าสนใจ ด้วยสี 

หรือรูปแบบที่โดดเด่น เช่น การเพิ่มรูปภาพ หรือไอคอนที่ตรงกับเนื้อหาของ CTA 

    • นำเสนอ CTA ที่เป็นเวลา 

หรือโปรโมชั่น ด้วยการกำหนดระยะเวลา เทคนิคนี้จะช่วยสร้างความกระตือรือร้นให้ผู้เยี่ยมชมให้เกิดความสนใจได้เป็นอย่างดี 

    • ให้ CTA สามารถเชื่อมโยง

ไปยังหน้าที่บริการลงทะเบียนและข้อมูล เพื่อให้เกิดการเข้าถึงกิจกรรมต่างๆ ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น 

    • ทำการทดสอบ A/B 

เพื่อดูว่าสิ่งไหนทำแล้วให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทดลองเปลี่ยนข้อความ, สี, หรือรูปแบบ CTA 

    • ตรวจสอบตำแหน่ง CTA 

โดยให้ CTA ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ตายตัวของหน้าเว็บ และมี CTA อยู่ในส่วนที่ผู้เยี่ยมชมสามารถมองเห็นได้ง่าย 

    • ใช้ CTA ที่เน้นความคุ้มค่า 

ทำให้ผู้เยี่ยมชมรู้ว่าการดำเนินการต่อสิ่งนั้นๆ มีความคุ้มค่าและมีประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น “รับส่วนลดพิเศษ”, “สมัครรับข้อมูลสิทธิพิเศษ”, หรือ “ทดลองใช้ฟรี” 

    • ปรับแต่ง CTA ตามกลุ่มเป้าหมาย 

ให้ตรงกับความสนใจและความต้องการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ลด Bounce Rate ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การใช้ Call-to-Action ที่เหมาะสมและเข้ากับเนื้อหาจะเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สำคัญในการเพิ่มความน่าสนใจจากผู้เยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลด Bounce Rate บนเว็บไซต์ได้อีกด้วย

  • การทดสอบ (A/B Testing) 

ทดสอบการเปลี่ยนแปลงที่คุณได้ทำการปรับแต่งในเว็บไซต์ เพื่อดูว่ามีผลต่อ Bounce rate หรือไม่เพียงใด เพื่อที่จะได้นำมาข้อมูลมาปรับปรุงให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีมากที่สุด สำหรับเทคนิคการปรับแต่งเว็บด้วยรูปแบบการทดสอบนั้น สามารถทำได้ดังนี้

    • กำหนดวัตถุประสงค์ของการทดสอบ 

เช่น การเพิ่มการคลิกที่ CTA, เพิ่มเวลาการเข้าชมหน้าเว็บ, หรือลด Bounce Rate เป็นต้น

    • เลือกตัวแปรที่จะทดสอบ 

เช่น ข้อความ CTA, สีของปุ่ม, หรือโครงสร้างหน้าเว็บ 

    • สร้างเวอร์ชันทดสอบ (Variant) 

ที่ต่างจากเวอร์ชันปัจจุบันของเว็บไซต์ จากนั้นทำการปรับปรุงตามวัตถุประสงค์ของการทดสอบ

    • แบ่งกลุ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ 

เช่น กลุ่ม A (Control Group) และกลุ่ม B (Test Group) แต่ละกลุ่มจะเห็นเวอร์ชันทดสอบ หรือเวอร์ชันปัจจุบัน 

    • นำเข้าเครื่องมือทดสอบ A/B Testing เพื่อวางแผน

และดำเนินการทดสอบ เช่น Google Optimize, Optimizely, หรือ Visual Website Optimizer 

    • ตั้งค่าเป้าหมายที่ต้องการวัดผล 

เช่น การคลิกที่ CTA, การสั่งซื้อสินค้า, หรือเวลาที่ใช้ในการเข้าชม 

    • ระยะเวลาทดสอบที่จำเป็น 

ควรกำหนดระยะเวลาให้เวลาเพียงพอที่จะเก็บข้อมูล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

    • วิเคราะห์ผลลัพธ์ 

เมื่อทดสอบเสร็จสิ้น เพื่อดูผลลัพธ์ที่ได้ โดยการตรวจสอบว่าเวอร์ชันไหนทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากันมากที่สุด 

    • ปรับปรุงและทดสอบเพิ่มเติม 

เพื่อให้เกิดการปรับปรุงตามผลลัพธ์ที่ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ยั่งยืน 

การทดสอบ A/B Testing ช่วยให้คุณมีข้อมูลที่แน่นอน เพื่อนำไปทำการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น 

การดูผลลัพธ์จากการทดสอบและปรับปรุงตามข้อมูลที่ได้นั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีการลด Bounce Rate ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจ 

หากในตอนนี้คุณกำลังวางแผนที่จะปรับแต่งเว็บไซต์ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี สามารถติดต่อทีมงาน Enterblueprint บริษัท รับทำ SEO และ รับทำการตลาดออนไลน์ ของเราได้ทุกเวลา เรามีทีมงานที่พร้อมให้บริการคุณทุกวัน 

💙 ติดต่อ Enterblueprint 💙

🟢 Line@ : Enterblueprint

🔵 Facebook : Enterblueprint

🟠 Website : www.Enterblueprint.com

🟡 E-mail : [email protected]

EnterBlueprint-Logo
ติดต่อเรา ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
บทความล่าสุด
Enterblueprint Logo